Friday, January 10, 2014

บันทึกสู่กาญนบุรี


     แม้จะเป็นการเดินทางเพียงระยะเวลาสั้นๆ ใช้เวลาขับรถราว 3-4 ชั่วโมง แต่ก็เป็นการเดินทางที่ทำให้เกิดการเรียนรู้และได้ข้อมูลท่องเที่ยวเพื่อใช้ทำมาหากินได้อย่างดี




     กาญจนบุรีเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เหล่านักเดินทางต่างรู้จักดี จังหวัดทางภาคตะวันตกแห่งนี้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ราว 129 กิโลเมตร หรือ 80 ไมล์ (แน่ละ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่คุยด้วยมักประชดประชันบอกว่า ฉันไม่ใช่คนอังกฤษเลยไม่คุ้นกับหน่วยกิโลเมตรสักเท่าไหร่ ช่วยบอกเป็นไมล์ได้หรือเปล่าฉันรีบควักเอาความรู้สมัยมัธยมออกจากซอกหลืบของลิ้นชักความทรงจำ ครั้นนั่งท่องหน่วยพื้นที่กับสาวนัยน์ตาเล็กหยิบหยีคนหนึ่งในชั่วโมงคณิตศาสตร์ แล้วรีบแปลงหน่วยกิโลเมตรเป็นไมล์ทันที)

     เราขับรถออกจากโรงแรมราว 07: 30 น. โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) คนขับรถเป็นชายวัยใกล้ชน 60 ปี ฉันเรียกแกว่า น้า แทนคำว่า ลุงซึ่งฟังดูรื่นหูมากกว่าคำหลัง ตะแกเป็นคนช่างเจรจา เล่าประสบการณ์ทำงานในวงการท่องเที่ยว 40 ปีตลอดการเดินทาง พอขับผ่านอำเภอบ้านโป่ง แกก็บอกว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมอู่ต่อรถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจนเรียกขานกันว่าเป็นดีทรอยท์แห่งประเทศไทย ฉันพยักหน้าหงึกหงักก่อนหันมาบอกแขกที่นั่งอยู่ด้านหลังรถว่า ‘This is one of the largest bus assembly industrial areas in Thailand, so it’s also called the Detroit of Thailand.’ แขกตื่นเต้นต่างเปล่งเสียง อ้า... ขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็ไม่มีคำถามหรือคำพูดใดๆ พ่วงท้ายคำอุทานดังกล่าว (ฉันไม่แน่ใจนักว่าข้อมูลดังกล่าวจำเป็นต้องบอกแขกหรือไม่ ฉันมาทริปนี้ไม่ใช่ในฐานะไกด์เพราะฉันไม่มีบัตรไกด์และยังไม่พร้อมจะไปฝึกอบรมให้เสียเงินหลายหมื่นบาท แต่ฉันก็หวั่นๆ อยู่ไม่น้อยว่าถ้าหากเจ้าหน้าตำรวจท่องเที่ยวพบเห็นฉันยืนคุยกับแขกอยู่ ณ สถานที่ใดที่หนึ่งของเมืองกาญฯ  เขา จะทึกทักว่าฉันเป็นไกด์เอาได้ แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือค่าปรับที่ไม่ต่ำกว่าสี่ซ้าห้าพันอย่างแน่ นอน) พอขับไปได้สักพัก เราก็เห็นไร่อ้อยและรถขนอ้อยถี่ขึ้น ฉันเห็นฝรั่งด้านหลังกระซิบกระซาบเหมือนอยากรู้ว่าทำไมมีไร่อ้อยและรถขนอ้อย เยอะแยะมากมาย ในที่สุดน้าคนขับรถก็บอกฉันว่า ที่แห่งนี้นอกเหนือจากขึ้นชื่อเรื่องอู่ต่อรถแล้วยังเป็นแหล่งผลิตน้ำตาล ทรายอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยด้วย แน่ละ...ฉันต้องรีบหันไปอธิบายให้กับแขกว่า ‘Apart from being one of the best bus assembly industrial areas in the country, Baan Pong is also one of the biggest sugar cane production areas in Thailand.’ ฉันคิดอยู่พักหนึ่งว่าควรใช้คำว่า ‘Sugar refinery’ ดีหรือไม่แต่ก็เลี่ยงใช้ศัพท์ดังกล่าวเพราะความไม่มั่นใจ...



   เรามาถึงพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่สองหรือ Jeath War Museum ราว 10 โมงเช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาท (ส่วนคนไทยไม่แน่ใจว่าเสีย 20 บาทหรือเปล่า แต่วันนั้นฉันเข้าชมฟรี) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่ มีเรือให้บริการล่องแม่น้ำแควใหญ่ไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแควลำละ 250 บาท ใช้เวลาประมาณ 15 นาที น้าคนขับรถบอกให้ฉันลองเสนอขายให้แขกดูเผื่อจะได้ค่าน้ำ (ค่าน้ำคือส่วนต่างราคาที่บวกเพิ่มเข้าไปจากราคาต้นทุน) ฉันก็เก้ๆ กังๆ เอ่ยขายกับลูกค้า แต่สุดท้ายในกลุ่มเลือกที่จะนั่งรถไปสะพานกัน



     ระหว่างไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว เราแวะที่สุสานทหารสัมพันธมิตรหรือมีชื่อเป็นทางการว่า สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก (Kanchanburi War Cemetery) ณ ที่แห่งนี้ฉันกับน้าคนขับรถต้องปล่อยให้แขกเดินเข้าไปในสุสานก่อนเพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้า เมื่อแขกเดินเข้าไปแล้ว ฉันจึงเดินตามหลังห่างๆ และเดินเที่ยวชมสุสานเพียงลำพังท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ของสายวันนั้น

 ณ สุสานแห่งนี้ฉันได้เรียนรู้ว่าทหารที่เสียชีวิตในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มทั้งสิ้น อายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 23-32 ปี เวลานั้นลมเย็นพัดมาแผ่วเบาต้องผิวจนสัมผัสถึงความยะเยือก ฉันทอดมองต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอยู่ตรงหน้าพลางนึกถึงยุคสมัยของตัวเองที่ไม่มีสงครามถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันเหมือนในอดีต ทำให้รู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาในยุคปัจจุบัน ได้อยู่ชิดใกล้คนที่เรารัก และไม่ต้องตกระกำลำบากเหมือนเช่นผู้คนในยุคนั้น สมัยนั้น





     เราออกเดินทางต่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแคว เมื่อมาถึงแล้ว ฉันก็เดินนำแขกไปยังสะพานที่คลาคล่ำไปด้วยกลุ่มนักศึกษาที่มาทัศนะศึกษามาก มาย ทำให้นึกถึงวัยเรียนขึ้นมาทันที ระหว่างที่เดินสำรวจสะพานอยู่นั้น ฉันแลเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนสีไวโอลีนท่ามสายลมพัดผ่านด้วยความสุขใจ บทเพลง Pachelbel's Canon กังวานเพราะพริ้ง ทำให้ฉันอดทอดอารมณ์ไปกับเสียงเพลงและสายลมเสียมิได้...ไม่รู้สินะ...เวลาที่ได้ยินบทเพลงซึ้งๆ ทีไรฉันมักกระหวัดถึงใครคนหนึ่งที่เคยเดินผ่านในวันวานผ่านเลย...และคงเก็บไว้ในความทรงจำเท่านั้น

     ตกบ่ายวันนั้นเรารีบขับรถมุ่งหน้าสู่น้ำตกเอราวัณซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอเมืองกาญประมาณ 65 กิโลเมตร (อ้อ...ฉันควรแปลงหน่วยเป็นไมล์ก่อน...เป็น 40 ไมล์) ระหว่างเส้นทางเราขับผ่านเขาชนไก่ ค่ายฝึกวิชาทหารอันขึ้นชื่อ ผ่านร้านขายหินมากมาย พอมาถึงน้ำตกและจ่ายค่าเข้าชม 200 บาทสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและค่าจอดรถ 30 บาทแล้ว ฉันก็เดินนำแขกไปสำรวจน้ำตก 7 ชั้นนั้นทันที 



     ระหว่างเส้นทางสู่เมืองกาญในครั้งนี้ มีภาพเก่าๆ สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้ามาในความทรงจำเสมอ ภาพของเพื่อนนักศึกษาที่ออกค่ายอาสาในฤดูฝนหลังเมษาฯ ภาพธรรมชาติของจังหวัดกาญจนบุรี น้ำตก ภูเขา เขื่อน และสายน้ำกระจ่างใส บทเพลงเก่าๆ เรื่องราวแห่งวันวาน แม้ครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางออกค้นหาชีวิตแต่ก็มีกลิ่นอายของความอบอุ่นหัวใจกรุ่นกรายอยู่ภายในตลอดเส้นทาง....

บันทึก
10/01/2014
แดนดิน



No comments:

Post a Comment