ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว ความมืดคลี่ปีกโอบล้อมทุกสรรพสิ่ง
ฉันสะพายกระเป๋าลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินฝ่าฝูงชนบนถนนสายโลกีย์ (ถนนเส้นหนึ่งในย่านนานาที่คลาคล่ำไปด้วยผับและบาร์และสาวแท้สาวเทียมในชุดสุดเซ็กซี่ทียืนโปรยยิ้มหวานอยู่ตามบาทวิถี)
มุ่งหน้าสู่แยกปทุมวัน-ราชประสงค์ หนึ่งในเจ็ดจุดที่เป็นพื้นที่ชุมนุมของม็อบกปปส.
ฉันไม่มีนกหวีด ไม่มีสายรัดข้อมือสีธงชาติ ไม่สวมเสื้อลายธงไตรรงค์และไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ
เหมือนผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ฉันเดินดุ่มๆ ผ่านสีแยกเพลินจิต ผ่านหลักหมุดเขตที่ดินของพระยาภักดีนรเศรษฐ์หรือนายเลิศ
เศรษฐบุตร ตรงข้ามอาคาร Wave Place แล้วในที่สุดฉันก็มาถึงหน้าเซ็นทรัลชิดลม
ฝั่งธนาคารกรุงศรี เห็นหนุ่มสาวออฟฟิตมากมายยืนเป็นกลุ่มๆ กระจายรอบเวทีที่มีการแสดงดนตรีสด
บทเพลงเพราะๆ จังหวะมันส์ๆ ทำให้ใครต่อใครอดจะร้องตามและโยกย้ายไปมาเสียมิได้ ทุกคนดูมีความสุข
สดใสร่าเริง
มากกว่าบรรยากาศที่ตึงเครียดจากการปราศรัยของแกนนำที่ฉันเคยเห็นในเคเบิ้ลทีวีช่องหนึ่งที่มีโลโก้เฉดสีฟ้าเข้มและฟ้าอ่อน
ฉันเดินเบียดเสียดหนุ่มสาวออฟฟิตที่มีสายนกหวีดลายธงชาติคล้องคอกันทุกคน จนฉันรู้สึกผิดแผกแปลกแยกจากคนกลุ่มนั้น
ในบริบทการเมืองแล้ว ฉันไม่ใช่พวกซ้ายสุดโต่ง หรือขวาสุดขอบ ฉันเคารพทุกความคิดเห็นและการแสดงออกของทุกคนทุกฝ่าย
ในระบอบประชาธิปไตย เราทุกคนล้วนมีสิทธิ์เสียงเท่ากัน ไม่ว่าจะฝ่ายใด ข้างไหน
ก็ล้วนมีเลือดไทยด้วยกันทั้งนั้น
ฉันเดินผ่านเวทีอินดี้ที่มีนักร้องมากมายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นเวที
มีสาวๆ หน้าตาดีเดินผ่านมาให้เห็นอยู่มากมาย และบนถนนเส้นนั้นก็กลายเป็นตลาดนัดไปโดยสิ้นเชิง
แสงไฟสลัวใต้รางรถไฟฟ้าทำให้บรรยากาศการเดินไปสู่เวทีแยกปทุมวัน-ราชประสงค์
วาบหวิวเบาบาง คล้ายเดินอยู่ในความฝัน บนถนนที่เลือนรางปกคลุมด้วยม่านหมอก เมื่อมาถึงเวทีดังกล่าว
ฉันรีบเดินขึ้นไปบนสกายวอล์ค เห็นผู้ชุมนุมนั่งเต็มถนนหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บนจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่
ปรากฏแกนนำท่านหนึ่งกำลังกล่าวปราศรัยอยู่ เสียงกู่ตะโกนพร้อมเสียงนกหวีดดังกังวานไปทั่วบริเวณ
ฉันหยุดยืนถ่ายรูป เก็บภาพประวัติศาสตร์นั้นไว้
ก่อนเดินต่อไปยังสยามและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสองจุดชุมนุมสุดท้ายของค่ำคืนนี้
ระหว่างที่เดินไปสยาม ฉันเห็นคนเข้าคิวยาวเหยียดและด้านหน้าแถวนั้นก็ปรากฏชายหนุ่มสามคนกำลังชูป้ายตะโกนลั่นเรียกความสนใจให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างดี
“เชิญครับ พี่น้อง เชิญเข้ามารับแจกอาหารฟรีจากเราได้เลยครับ ข้าวร้อนๆ
กับไข่เจียวฝีมือเชฟจากฝรั่งเศสเลยนะครับ วันนี้อุตส่าห์บินตรงจากฝรั่งเศสเพื่อมาช่วยทอดไข่เจียวกู้ชาติให้กับพี่น้องได้ทานกันเลยทีเดียว...”
เสียงเชิญชวนของโฆษกจำเป็นทั้งสามเรียกรอยยิ้มให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างดี
ฉันรีบเดินเข้าแถวและหยิบโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพประทับใจนั้นทันใด
“ผมสัญญากับพี่น้องเลยว่า ถ้าพรุ่งนี้ E ปูลาออก
ผมจะยอมเดินเท้าเปล่าจากกรุงเทพไปนครฯ บนถนนคอ-นก-รีต ให้สาใจเลยเชียว” ใครคนหนึ่งในกลุ่มสามเกลอเอ่ยขึ้นดังลั่น
เรียกเสียงโห่ร้องเกรียวกราวจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา ต่อจากนั้นเจ้าหนุ่มคนเดิมตะโกนขึ้นว่า
“ยิ่งลักษณ์” (เสียงลากยาว)
“ออกไป!” มีเสียงของสองหนุ่มในกลุ่มตอบรับพร้อมกับเสียงของผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณนั้น
“ทักษิณ”
“ติดคุก”
“ธาริต”
“ไอ้เหี้ย!”
สยามสแควร์ในค่ำคืนนี้ดูผิดแผกแตกต่างจากทุกๆ
ครั้งที่ฉันเคยสัมผัส ห้างร้านต่างปิดเงียบแต่บนถนนกับคึกคักไปด้วยร้านขายเสื้อผ้าและสินค้ายอดนิยมของการชุมนุมในครั้งนี้ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านไปจนถึงถนนหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ ที่เป็นจุดตั้งเวทีปราศรัยอีกจุดหนึ่ง
จากนั้นฉันก็เดินผ่านสะพานหัวช้าง เห็นบังเกอร์ของการ์ดอาสาตรงทางเข้าออก ซึ่งเมื่อวันก่อนมีการปะทะกัน
ณ จุดนี้ มีผู้ชุมนุมบาดเจ็บไป 2 ราย ฉันเดินผ่านรถเก๋งคันหนึ่งที่จอดอยู่ริมถนนเห็นผู้ชุมนุมท่านหนึ่งที่เดินผ่านมาชี้ให้ดูรอยกระสุนบนรถคันดังกล่าว
บรรยากาศตอนนั้นเงียบสงบ ไม่มีรถราสัญจรไปมาแต่อย่างใด ฉันเริ่มหวั่นใจขึ้นมาทันที
คิดไปต่างๆ นานา กลัวจะมีการซุ่มโจมตีอีก ผู้คนต่างรีบสาวเท้าเดินไปตามแนวป้องกัน การ์ดอาสาตรวจค้นกระเป๋าของทุกคนที่เดินเข้ามายังเวทีปราศรัย
ฉันรีบเรียกมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งให้ไปส่งที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ....ช่างเป็นเวลาที่บีบหัวใจจริงๆ
ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวทีปราศรัยสุดท้ายของค่ำคืนนี้ที่ฉันจะเดินสำรวจ
เพราะคำว่า ‘ประวัติศาสตร์’
ทำให้ฉันเกิดอาการ ‘บ้า’ อยากเดินมาถ่ายรูปภาพบรรยากาศของการชุมนุมในครั้งนี้
ฉันไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่จะมีโอกาสได้มาเดินอยู่บนถนนสายหลักของกรุงเทพฯ
ในบรรยากาศเช่นนี้อีก อย่างน้อยก็มีเรื่องเล่าให้ลูกหลานได้ฟังเมื่อชราไป
ณ เวทีแห่งนี้
ฉันเห็นการ์ดนับร้อยชีวิตคุมเข้มอยู่ตามจุดต่างๆ ทั้งบนสกายวอล์ค
ทางเข้า-ออกของเวทีปราศรัยและเดินปะปนกับผู้ชุมนุม การ์ดอาสาเหล่านี้จะมีป้ายคล้องคอกำกับไว้
หน้าตาเข้ม แววตาดุ คอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุมและควานหากลุ่มคนที่ไม่หวังดีที่อาจแฝงตัวเข้ามาร่วมชุมนุมด้วย
รอบๆ พื้นที่ชุมนุมมีเต็นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ตั้งกางไว้ให้ผู้ชุมนุมพักผ่อนตามอัธยาศัยและมีเต็นท์เล็กๆ
ของผู้ชุมนุมคนอื่นๆ วางเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ
ฉันยืนฟังแกนนำท่านหนึ่งปราศรัยจนจบแล้วเดินขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านพร้อมกับความคิดที่ดังก้องอยู่ข้างใน...เป็นความคิดที่ขมวดปมจนฉันสับสนกับคำว่า
‘ประชาธิปไตย’
บันทึกโดย
แดนดิน
17 มกราคม 2557