Wednesday, February 5, 2014

ตะลุยเกาะเกร็ดในวันชิลๆ



    

     ชีวิตของคนทำทัวร์คือการเก็บข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด เพื่อพัฒนาทักษะการขายให้ดียิ่งขึ้น ยิ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวสินค้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างจินตนาการให้กับผู้ซื้อได้มากเท่านั้น เมื่อสามารถฉายภาพให้เกิดขึ้นในใจของลูกค้าได้ โอกาสปิดการขายก็มีเพิ่มขึ้น ทักษะการขายก็คงคล้ายกับการสร้างงานศิลปะอย่างหนึ่งโดยใช้วาทศิลป์โน้มน้าวลูกค้าให้ซื้อสินค้าและบริการต่างๆ เมื่อลูกค้ามีความมั่นใจในสินค้าและบริการแล้ว การควักเงินออกจากกระเป๋าเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น



     ในเช้าวันอังคารที่สดใส และไม่วุ่นวายจนเกินไป คนทำทัวร์อย่างผมก็มีโอกาสไปสำรวจเกาะเล็กๆ กลางแม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเดินทางในชื่อว่า เกาะเกร็ด
     เกาะเกร็ดถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนหรือ Community Based Tourism (CBT) ที่มีความน่าสนใจในการค้นหาไม่แพ้แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ และที่สำคัญ เกาะเกร็ด ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก การเดินทางสุ่ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ก็เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างดี

    การเติบโตอย่างรวดเร็วของกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ตั้งอยู่โดยรอบมหานครแห่งนี้ ขอบเขตพื้นที่ความเป็นเมืองมีการขยายออกไปสู่ชุมชนต่างๆ นำมาซึ่งความท้าทายต่อการรักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่น ไว้ หลายชุมชนพยายามสร้างความเข้มแข็งต่อกระแสธารการเปลี่ยนแปลงแห่งโลกสมัยใหม่โดยการจัดตั้งกลุ่มหรือชมรมขึ้นมาเพื่อรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของรากเหง้าและให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้คุณค่าของงานศิลปะ วัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ ของชาวชุมชนแก่คนรุ่นหลังและผู้ที่สนใจด้านนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าในยุคสมัยปัจจุบันนี้กระแสการท่องเที่ยวโดยชุมชนเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น 


     ผมออกเดินทางโดยเริ่มจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงแล้วไปลงที่สถานีสะพานตากสิน จากนั้นก็ต่อเรื่อด่วนเจ้าพระยามุ่งหน้าสู่ท่าเรือนนทบุรีซึ่งเป็นท่าเรือปลายทางก่อนนั่งรถเมล์ฟรีสาย 32 มุ่งหน้าสู่ปากเกร็ด การเดินทางของผมในเช้าวันนี้เริ่มขึ้นในรถไฟฟ้าบีทีเอสที่คลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารจำนวนมากมายแม้จะเป็นเวลาเกือบสิบโมงแล้ว แต่จำนวนผู้โดยสารก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด เมื่อมาถึงสถานีสะพานตากสิน ผมก็เดินออกทางออกที่ 1 มุ่งหน้าสู่ท่าเรือสะพานตากสิน ซื้อตั๋วเรือด่วนเจ้าพระยาราคา 15 บาท ซึ่งเรือจะติดธงสีส้มไว้ที่ท้ายเรือ ส่วนธงสีฟ้าจะเป็นเรือนักท่องเที่ยวราคา 150 บาทเป็นตั๋ว 1 วันไม่จำกัดเที่ยว (One Day Pass) และตั๋วเที่ยวเดียวราคา 40 บาท ซึ่งจะออกทุก 30 นาที โดยมีสถานีปลายทางที่ท่าเรือพระอาทิตย์ ในวันนั้นผมยืนต่อคิวยาวเหยียดซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว เมื่อขึ้นเรือแล้วผมก็รีบไปยืนอยู่ตรงด้านหลังเก้าอี้แถวหลังสุดเพื่อจะได้เก็บภาพบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างสะดวกโยธิน ผมยืนอยู่ข้างๆ เด็กฝรั่งคนหนึ่งมากับคุณแม่วัยสาว (เธอยังดูหน้าละอ่อนอยู่มาก) มีกล้อง DSLR อยู่ในมือ ผมเจอสองแม่ลูกคู่นี้บนรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีทองหล่อแล้ว ทั้งคู่จะไปลงที่ท่าช้างเพื่อไปวัดพระแก้วต่อไป



 เรือวิ่งผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น วัดอรุณ วัดพระแก้ว พิพิธภัณฑ์เรือพระราชพิธี (Rice Barge Museum), สะพานพุทธ, สะพานพระราม 8, สะพานซังฮี้ (สะพานกรุงธน) เป็นต้น เรือใช้เวลาวิ่งประมาณ 1 ชั่วโมงจากท่าเรือสะพานตากสิน (Central Pier) มาถึงท่าเรือนนทบุรี



     เมื่อมาถึงท่าเรือนนทบุรีแล้ว ผมก็เดินสำรวจบริเวณนั้นสักพัก ซื้อลูกชิ้นกับเฉาก๊วยรองท้องไปพลางๆ ก่อนนั่งรถเมล์ (ฟรี) สาย 32 ต่อไปปากเกร็ด แล้วมาลงที่ท่าน้ำปากเกร็ด (ใกล้กับห้างโลตัส) แล้วเดินลงไปวัดสนามเหนือ เห็นสามล้อถีบจอดเรียงรายคอยให้บริการไปส่งที่ท่าเรืออยู่หลายคัน ราคาเที่ยวละ 10 บาทเท่านั้น แต่ผมเลือกที่จะเดินไปมากกว่าเพราะไม่ไกลมากนัก สักพักก็เดินมาถึงวัดสนามเหนือ เห็นป้ายบอกทางไปท่าเรือข้ามฟากเกาะเกร็ด ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้ว อากาศเริ่มร้อนอบอ้าว ผมรีบเดินไปขึ้นเรือทันที ค่าเรือข้ามฟาก 2 บาทเท่านั้น ได้ยินผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะรู้จักกับคนขับเรือแซวขึ้นว่า
อาชีพของพี่นี่ไม่ต้องทำอะไรมากมายเน้อ...แค่ขับเรือข้ามไปข้ามมา ตั้งแต่เช้าถึงเย็นก็ได้เงินละ พอคนขับเรือได้ยินดังนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันทีด้วยความชอบอกชอบใจ ทำให้ผมแอบยิ้มออกมาไม่ได้



     เมื่อเรือมาถึงท่าเรือเกาะเกร็ดแล้ว ผมก็รีบเดินเข้าไปสำรวจชุมชนแห่งนั้นทันที เกาะเกร็ดเป็นชุมชนที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องปั้นดินเผามอญโบราณ มีพิพิธภัณฑ์เปิดให้สาธารณชนเข้าชมด้วย บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์เป็นตู้แสดงวัตถุโบราณต่างๆ รวมทั้งธนบัตรและเหรียญสมัยก่อน วันนั้นมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย สอบถามป้าที่ขายธูป เทียนหน้าวัดแห่งหนึ่ง แกบอกว่านักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันในวันเสาร์และอาทิตย์ แต่ในวันธรรมดาก็มีบ้างประปราย มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ 



     ผมเดินต่อไปยังพระเจดีย์ทรงระฆังเตี้ยแบบมอญซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด ไปนั่งอธิษฐาน ขออนุภาพแห่งบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว จงเป็นพลวะปัจจัย ให้ข้าพเจ้ามีความสุข ความเจริญ และเกิดปัญญาญาณ อธิษฐานไปยิ้มไปอย่างมีความสุข ผมเห็นน้องๆ วัยรุ่นสามสี่คนยืนกวาดใบไม้ร่วงตรงโคลนต้นไม้ใหญ่ (ไม่แน่ใจว่าเป็นต้นอะไร) ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาในใจและทำให้คิดถึงชีวิตวัยเยาว์ขึ้นมาทันที ครั้นเป็นเด็กนักศึกษาในวันวาน เรามีเวลามากมายออกท่องเที่ยวไปกับเพื่อนฝูง ได้ทำในสิ่งที่ใจปรารถนา สดใสเริงร่ากับความฝัน แต่พลันเรียนจบและเริ่มหน้าที่การงาน เราก็มีเวลาท่องเที่ยวน้อยลง อยู่กับตัวเองและหน้าที่มากขึ้น เวลาของเราคล้ายหายไปและราวกับว่าเราได้หลงลืมอะไรบางอย่าง


 ผมเดินต่อไปชมร้านค้าและวิถีชีวิตของ หมู่บ้านโอ่งอ่าง ซึ่งเป็นชุมชนที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องปั้นดินเผาแบบมอญที่สืบทอดกันมาครั้นตั้งถิ่นฐานแถบลุ่มแม่น้ำอิรวดี นับเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี ลวดลายประณีตสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และยังเป็นสัญลักษณ์ตราประจำจังหวัดนนทบุรี สองข้างทางเดินบนเกาะมีบางบ้านที่ทำเครื่องปั้นดินเผา ภาชนะของใช้ ในชีวิตประจำวัน เช่น กระถาง ครก โอ่งน้ำ ฯลฯ และผมก็หวังใจว่าจะได้พบสาวมอญคนสวย แต่เมื่อสำรวจตรวจตราผ่านไปก็เจอแต่สาว รุ่นดึก ทั้งนั้น



     เมื่อผมเดินมาถึงศาลาริมน้ำแห่งหนึ่ง ก็เห็นหมาตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ตรงนั้น มันส่ายหางดุ๊กดิ๊กคล้ายดีใจที่เห็นผม เมื่อมองไปไกลอีกฟากฝั่งของแม่น้ำ ก็ปรากฏพระพุทธรูปสีท่องอร่ามองค์ใหญ่ดูสง่างามตราตรึงใจยิ่งนัก ผมหยิบกล้องขึ้นบันทึกภาพแล้วนั่งเล่นกับหมาตัวนั้นราวกับมันและผมเป็นเพื่อนสนิทกัน คุณเคยฟังเพลง แรงดึงดูด ไหม ที่ท่อนหนึ่งของเพลงร้องว่า ควายกับคนก็คู่กัน ลมกับฝนก็คู่กัน น้ำกับฟ้าก็ซี้กัน... ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนั้น แท้จริงแล้วไม่ว่าหมาหรือคนก็เป็นเพื่อนกันได้เสมอ คุณว่าจริงมั้ย (บางทีหมาอาจซื่อสัตย์กว่าคนก็ได้)




     ผมเดินสำรวจต่อไป จนมาถึงวัดไผ่ล้อมหรือในภาษามอญเรียกว่า เภี่ยะโต้ ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ผมเห็นเณรองค์หนึ่งกำลังสาละวนกับการเก็บกวาดบริเวณหน้าโบสถ์ และตรงนั้นก็มีการตั้งโต๊ะบริจาคต่างๆ เช่น บริจาคทรัพย์ในการปูกระเบื้องรอบเจดีย์, บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น ผมร่วมทำบุญกับวัดไปตามกำลังศรัทธาและทางวัดก็มีใบอนุโมทนาบัตรให้ด้วย ผมเดินเข้าไปกราบพระประธานในโบสถ์ หลับตา อธิษฐาน ถึงใจที่ปรารถนา จากนั้นก็เดินออกมานั่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่ ปล่อยใจให้เป็นอิสระ บรรยากาศเงียบสงบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงใบไม้หล่นกระทบพื้น ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน ผมตั้งมั่นระลึกอยู่เสมอว่าความดีงามเท่านั้นที่จะปกป้องคุ้มครองเราตลอดไป...


   ผมนั่งเรือข้ามฝั่งเพื่อเดินทางกลับ นั่งรถเมล์สีเก่าบุโรทั่งมุ่งสู่ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยความสุขใจ ฟังเพลงขับกล่อมเบาๆ จนเผลอหลับไปและสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งขึ้นมาบนรถ การเดินทางของผมในวันนี้ทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง เกาธรรมชาติ โดย ดำรงค์ วงศ์โชติปิ่นทอง ที่เขียนไว้ว่า

โลกนี้มีของที่อยู่คู่กันเสมอ
เมื่อไรที่เราเห็น นกเราก็จะเห็นการโผบินอย่างอิสระ
เมื่อไรที่เราเห็น ปลาเราก็จะเห็นน้ำที่ปลาแหวกว่าย
เมื่อไรที่เราเห็น มดเราก็จะเห็นอาหารอยู่แถวนั้น
เมื่อไรที่เราเห็น ท้องฟ้าเราก็จะเห็นหมู่เมฆอยู่รอบๆ
เมื่อไรที่เราอยู่ในยามค่ำคืน เราก็จะเห็น ดวงดาวมากมาย
เมื่อไรที่เราเห็น เมฆฝนอีกไม่นานเราก็เห็นฝนตก
ธรรมชาติสร้างสิ่งต่างๆ มากมายให้อยู่เป็นคู่กัน
เมื่อไรที่เราเห็น คนท้อแท้
เราก็จะเห็นคนข้างๆ คอยให้กำลังใจ
บางครั้งเราก็เห็น คนผิดหวัง
บางครั้งเราก็เห็น คนสมหวัง
บางครั้งเราก็เห็น คนทำร้ายกัน
บางครั้งเราก็เห็น คนช่วยเหลือกัน
เหตุผลที่ธรรมชาติสร้าง อุปสรรคขึ้นมา
เพื่อให้เรารู้จักคำว่า ต่อสู้และ เหตุผลที่ธรรมชาติสร้าง ปัญหาขึ้นมา
เพื่อให้เรารู้จักใช้ ปัญญาแก้ไขมัน

บันทึกการเดินทาง โดย นายแดนดิน
06 กุมภาพันธ์ 2557

Friday, January 17, 2014

เมื่อฉันบุกม็อบ!





       ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว ความมืดคลี่ปีกโอบล้อมทุกสรรพสิ่ง ฉันสะพายกระเป๋าลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินฝ่าฝูงชนบนถนนสายโลกีย์ (ถนนเส้นหนึ่งในย่านนานาที่คลาคล่ำไปด้วยผับและบาร์และสาวแท้สาวเทียมในชุดสุดเซ็กซี่ทียืนโปรยยิ้มหวานอยู่ตามบาทวิถี) มุ่งหน้าสู่แยกปทุมวัน-ราชประสงค์ หนึ่งในเจ็ดจุดที่เป็นพื้นที่ชุมนุมของม็อบกปปส. ฉันไม่มีนกหวีด ไม่มีสายรัดข้อมือสีธงชาติ ไม่สวมเสื้อลายธงไตรรงค์และไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ เหมือนผู้ชุมนุมคนอื่นๆ ฉันเดินดุ่มๆ ผ่านสีแยกเพลินจิต ผ่านหลักหมุดเขตที่ดินของพระยาภักดีนรเศรษฐ์หรือนายเลิศ เศรษฐบุตร ตรงข้ามอาคาร Wave Place แล้วในที่สุดฉันก็มาถึงหน้าเซ็นทรัลชิดลม ฝั่งธนาคารกรุงศรี เห็นหนุ่มสาวออฟฟิตมากมายยืนเป็นกลุ่มๆ กระจายรอบเวทีที่มีการแสดงดนตรีสด บทเพลงเพราะๆ จังหวะมันส์ๆ ทำให้ใครต่อใครอดจะร้องตามและโยกย้ายไปมาเสียมิได้ ทุกคนดูมีความสุข สดใสร่าเริง มากกว่าบรรยากาศที่ตึงเครียดจากการปราศรัยของแกนนำที่ฉันเคยเห็นในเคเบิ้ลทีวีช่องหนึ่งที่มีโลโก้เฉดสีฟ้าเข้มและฟ้าอ่อน ฉันเดินเบียดเสียดหนุ่มสาวออฟฟิตที่มีสายนกหวีดลายธงชาติคล้องคอกันทุกคน จนฉันรู้สึกผิดแผกแปลกแยกจากคนกลุ่มนั้น ในบริบทการเมืองแล้ว ฉันไม่ใช่พวกซ้ายสุดโต่ง หรือขวาสุดขอบ ฉันเคารพทุกความคิดเห็นและการแสดงออกของทุกคนทุกฝ่าย ในระบอบประชาธิปไตย เราทุกคนล้วนมีสิทธิ์เสียงเท่ากัน ไม่ว่าจะฝ่ายใด ข้างไหน ก็ล้วนมีเลือดไทยด้วยกันทั้งนั้น

   ฉันเดินผ่านเวทีอินดี้ที่มีนักร้องมากมายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นเวที มีสาวๆ หน้าตาดีเดินผ่านมาให้เห็นอยู่มากมาย และบนถนนเส้นนั้นก็กลายเป็นตลาดนัดไปโดยสิ้นเชิง แสงไฟสลัวใต้รางรถไฟฟ้าทำให้บรรยากาศการเดินไปสู่เวทีแยกปทุมวัน-ราชประสงค์ วาบหวิวเบาบาง คล้ายเดินอยู่ในความฝัน บนถนนที่เลือนรางปกคลุมด้วยม่านหมอก เมื่อมาถึงเวทีดังกล่าว ฉันรีบเดินขึ้นไปบนสกายวอล์ค เห็นผู้ชุมนุมนั่งเต็มถนนหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บนจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ ปรากฏแกนนำท่านหนึ่งกำลังกล่าวปราศรัยอยู่ เสียงกู่ตะโกนพร้อมเสียงนกหวีดดังกังวานไปทั่วบริเวณ ฉันหยุดยืนถ่ายรูป เก็บภาพประวัติศาสตร์นั้นไว้ ก่อนเดินต่อไปยังสยามและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสองจุดชุมนุมสุดท้ายของค่ำคืนนี้


     ระหว่างที่เดินไปสยาม ฉันเห็นคนเข้าคิวยาวเหยียดและด้านหน้าแถวนั้นก็ปรากฏชายหนุ่มสามคนกำลังชูป้ายตะโกนลั่นเรียกความสนใจให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างดี

เชิญครับ พี่น้อง เชิญเข้ามารับแจกอาหารฟรีจากเราได้เลยครับ ข้าวร้อนๆ กับไข่เจียวฝีมือเชฟจากฝรั่งเศสเลยนะครับ วันนี้อุตส่าห์บินตรงจากฝรั่งเศสเพื่อมาช่วยทอดไข่เจียวกู้ชาติให้กับพี่น้องได้ทานกันเลยทีเดียว...

เสียงเชิญชวนของโฆษกจำเป็นทั้งสามเรียกรอยยิ้มให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างดี

ฉันรีบเดินเข้าแถวและหยิบโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพประทับใจนั้นทันใด

ผมสัญญากับพี่น้องเลยว่า ถ้าพรุ่งนี้ E ปูลาออก ผมจะยอมเดินเท้าเปล่าจากกรุงเทพไปนครฯ บนถนนคอ-นก-รีต ให้สาใจเลยเชียวใครคนหนึ่งในกลุ่มสามเกลอเอ่ยขึ้นดังลั่น เรียกเสียงโห่ร้องเกรียวกราวจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา ต่อจากนั้นเจ้าหนุ่มคนเดิมตะโกนขึ้นว่า

ยิ่งลักษณ์ (เสียงลากยาว) 
ออกไป!” มีเสียงของสองหนุ่มในกลุ่มตอบรับพร้อมกับเสียงของผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณนั้น

ทักษิณ
ติดคุก

ธาริต
ไอ้เหี้ย!”

ฉันสำลักข้าวในปากออกมาเต็มคำขณะกำลังเคี้ยวเต็มปากอย่างเอร็ดอร่อย...


     สยามสแควร์ในค่ำคืนนี้ดูผิดแผกแตกต่างจากทุกๆ ครั้งที่ฉันเคยสัมผัส ห้างร้านต่างปิดเงียบแต่บนถนนกับคึกคักไปด้วยร้านขายเสื้อผ้าและสินค้ายอดนิยมของการชุมนุมในครั้งนี้ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านไปจนถึงถนนหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ ที่เป็นจุดตั้งเวทีปราศรัยอีกจุดหนึ่ง จากนั้นฉันก็เดินผ่านสะพานหัวช้าง เห็นบังเกอร์ของการ์ดอาสาตรงทางเข้าออก ซึ่งเมื่อวันก่อนมีการปะทะกัน ณ จุดนี้ มีผู้ชุมนุมบาดเจ็บไป 2 ราย ฉันเดินผ่านรถเก๋งคันหนึ่งที่จอดอยู่ริมถนนเห็นผู้ชุมนุมท่านหนึ่งที่เดินผ่านมาชี้ให้ดูรอยกระสุนบนรถคันดังกล่าว บรรยากาศตอนนั้นเงียบสงบ ไม่มีรถราสัญจรไปมาแต่อย่างใด ฉันเริ่มหวั่นใจขึ้นมาทันที คิดไปต่างๆ นานา กลัวจะมีการซุ่มโจมตีอีก ผู้คนต่างรีบสาวเท้าเดินไปตามแนวป้องกัน การ์ดอาสาตรวจค้นกระเป๋าของทุกคนที่เดินเข้ามายังเวทีปราศรัย ฉันรีบเรียกมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งให้ไปส่งที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ....ช่างเป็นเวลาที่บีบหัวใจจริงๆ


     ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวทีปราศรัยสุดท้ายของค่ำคืนนี้ที่ฉันจะเดินสำรวจ เพราะคำว่า ประวัติศาสตร์ ทำให้ฉันเกิดอาการ บ้า อยากเดินมาถ่ายรูปภาพบรรยากาศของการชุมนุมในครั้งนี้ ฉันไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่จะมีโอกาสได้มาเดินอยู่บนถนนสายหลักของกรุงเทพฯ ในบรรยากาศเช่นนี้อีก อย่างน้อยก็มีเรื่องเล่าให้ลูกหลานได้ฟังเมื่อชราไป


     ณ เวทีแห่งนี้ ฉันเห็นการ์ดนับร้อยชีวิตคุมเข้มอยู่ตามจุดต่างๆ ทั้งบนสกายวอล์ค ทางเข้า-ออกของเวทีปราศรัยและเดินปะปนกับผู้ชุมนุม การ์ดอาสาเหล่านี้จะมีป้ายคล้องคอกำกับไว้ หน้าตาเข้ม แววตาดุ คอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุมและควานหากลุ่มคนที่ไม่หวังดีที่อาจแฝงตัวเข้ามาร่วมชุมนุมด้วย


  รอบๆ พื้นที่ชุมนุมมีเต็นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ตั้งกางไว้ให้ผู้ชุมนุมพักผ่อนตามอัธยาศัยและมีเต็นท์เล็กๆ ของผู้ชุมนุมคนอื่นๆ วางเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ ฉันยืนฟังแกนนำท่านหนึ่งปราศรัยจนจบแล้วเดินขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านพร้อมกับความคิดที่ดังก้องอยู่ข้างใน...เป็นความคิดที่ขมวดปมจนฉันสับสนกับคำว่า ประชาธิปไตย

บันทึกโดย

แดนดิน

17 มกราคม 2557
    

Friday, January 10, 2014

บันทึกสู่กาญนบุรี


     แม้จะเป็นการเดินทางเพียงระยะเวลาสั้นๆ ใช้เวลาขับรถราว 3-4 ชั่วโมง แต่ก็เป็นการเดินทางที่ทำให้เกิดการเรียนรู้และได้ข้อมูลท่องเที่ยวเพื่อใช้ทำมาหากินได้อย่างดี




     กาญจนบุรีเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เหล่านักเดินทางต่างรู้จักดี จังหวัดทางภาคตะวันตกแห่งนี้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ราว 129 กิโลเมตร หรือ 80 ไมล์ (แน่ละ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่คุยด้วยมักประชดประชันบอกว่า ฉันไม่ใช่คนอังกฤษเลยไม่คุ้นกับหน่วยกิโลเมตรสักเท่าไหร่ ช่วยบอกเป็นไมล์ได้หรือเปล่าฉันรีบควักเอาความรู้สมัยมัธยมออกจากซอกหลืบของลิ้นชักความทรงจำ ครั้นนั่งท่องหน่วยพื้นที่กับสาวนัยน์ตาเล็กหยิบหยีคนหนึ่งในชั่วโมงคณิตศาสตร์ แล้วรีบแปลงหน่วยกิโลเมตรเป็นไมล์ทันที)

     เราขับรถออกจากโรงแรมราว 07: 30 น. โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) คนขับรถเป็นชายวัยใกล้ชน 60 ปี ฉันเรียกแกว่า น้า แทนคำว่า ลุงซึ่งฟังดูรื่นหูมากกว่าคำหลัง ตะแกเป็นคนช่างเจรจา เล่าประสบการณ์ทำงานในวงการท่องเที่ยว 40 ปีตลอดการเดินทาง พอขับผ่านอำเภอบ้านโป่ง แกก็บอกว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมอู่ต่อรถที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจนเรียกขานกันว่าเป็นดีทรอยท์แห่งประเทศไทย ฉันพยักหน้าหงึกหงักก่อนหันมาบอกแขกที่นั่งอยู่ด้านหลังรถว่า ‘This is one of the largest bus assembly industrial areas in Thailand, so it’s also called the Detroit of Thailand.’ แขกตื่นเต้นต่างเปล่งเสียง อ้า... ขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็ไม่มีคำถามหรือคำพูดใดๆ พ่วงท้ายคำอุทานดังกล่าว (ฉันไม่แน่ใจนักว่าข้อมูลดังกล่าวจำเป็นต้องบอกแขกหรือไม่ ฉันมาทริปนี้ไม่ใช่ในฐานะไกด์เพราะฉันไม่มีบัตรไกด์และยังไม่พร้อมจะไปฝึกอบรมให้เสียเงินหลายหมื่นบาท แต่ฉันก็หวั่นๆ อยู่ไม่น้อยว่าถ้าหากเจ้าหน้าตำรวจท่องเที่ยวพบเห็นฉันยืนคุยกับแขกอยู่ ณ สถานที่ใดที่หนึ่งของเมืองกาญฯ  เขา จะทึกทักว่าฉันเป็นไกด์เอาได้ แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือค่าปรับที่ไม่ต่ำกว่าสี่ซ้าห้าพันอย่างแน่ นอน) พอขับไปได้สักพัก เราก็เห็นไร่อ้อยและรถขนอ้อยถี่ขึ้น ฉันเห็นฝรั่งด้านหลังกระซิบกระซาบเหมือนอยากรู้ว่าทำไมมีไร่อ้อยและรถขนอ้อย เยอะแยะมากมาย ในที่สุดน้าคนขับรถก็บอกฉันว่า ที่แห่งนี้นอกเหนือจากขึ้นชื่อเรื่องอู่ต่อรถแล้วยังเป็นแหล่งผลิตน้ำตาล ทรายอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยด้วย แน่ละ...ฉันต้องรีบหันไปอธิบายให้กับแขกว่า ‘Apart from being one of the best bus assembly industrial areas in the country, Baan Pong is also one of the biggest sugar cane production areas in Thailand.’ ฉันคิดอยู่พักหนึ่งว่าควรใช้คำว่า ‘Sugar refinery’ ดีหรือไม่แต่ก็เลี่ยงใช้ศัพท์ดังกล่าวเพราะความไม่มั่นใจ...



   เรามาถึงพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่สองหรือ Jeath War Museum ราว 10 โมงเช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาท (ส่วนคนไทยไม่แน่ใจว่าเสีย 20 บาทหรือเปล่า แต่วันนั้นฉันเข้าชมฟรี) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่ มีเรือให้บริการล่องแม่น้ำแควใหญ่ไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแควลำละ 250 บาท ใช้เวลาประมาณ 15 นาที น้าคนขับรถบอกให้ฉันลองเสนอขายให้แขกดูเผื่อจะได้ค่าน้ำ (ค่าน้ำคือส่วนต่างราคาที่บวกเพิ่มเข้าไปจากราคาต้นทุน) ฉันก็เก้ๆ กังๆ เอ่ยขายกับลูกค้า แต่สุดท้ายในกลุ่มเลือกที่จะนั่งรถไปสะพานกัน



     ระหว่างไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว เราแวะที่สุสานทหารสัมพันธมิตรหรือมีชื่อเป็นทางการว่า สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก (Kanchanburi War Cemetery) ณ ที่แห่งนี้ฉันกับน้าคนขับรถต้องปล่อยให้แขกเดินเข้าไปในสุสานก่อนเพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้า เมื่อแขกเดินเข้าไปแล้ว ฉันจึงเดินตามหลังห่างๆ และเดินเที่ยวชมสุสานเพียงลำพังท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ของสายวันนั้น

 ณ สุสานแห่งนี้ฉันได้เรียนรู้ว่าทหารที่เสียชีวิตในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองนั้นล้วนเป็นคนหนุ่มทั้งสิ้น อายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 23-32 ปี เวลานั้นลมเย็นพัดมาแผ่วเบาต้องผิวจนสัมผัสถึงความยะเยือก ฉันทอดมองต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอยู่ตรงหน้าพลางนึกถึงยุคสมัยของตัวเองที่ไม่มีสงครามถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันเหมือนในอดีต ทำให้รู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาในยุคปัจจุบัน ได้อยู่ชิดใกล้คนที่เรารัก และไม่ต้องตกระกำลำบากเหมือนเช่นผู้คนในยุคนั้น สมัยนั้น





     เราออกเดินทางต่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำแคว เมื่อมาถึงแล้ว ฉันก็เดินนำแขกไปยังสะพานที่คลาคล่ำไปด้วยกลุ่มนักศึกษาที่มาทัศนะศึกษามาก มาย ทำให้นึกถึงวัยเรียนขึ้นมาทันที ระหว่างที่เดินสำรวจสะพานอยู่นั้น ฉันแลเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนสีไวโอลีนท่ามสายลมพัดผ่านด้วยความสุขใจ บทเพลง Pachelbel's Canon กังวานเพราะพริ้ง ทำให้ฉันอดทอดอารมณ์ไปกับเสียงเพลงและสายลมเสียมิได้...ไม่รู้สินะ...เวลาที่ได้ยินบทเพลงซึ้งๆ ทีไรฉันมักกระหวัดถึงใครคนหนึ่งที่เคยเดินผ่านในวันวานผ่านเลย...และคงเก็บไว้ในความทรงจำเท่านั้น

     ตกบ่ายวันนั้นเรารีบขับรถมุ่งหน้าสู่น้ำตกเอราวัณซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอเมืองกาญประมาณ 65 กิโลเมตร (อ้อ...ฉันควรแปลงหน่วยเป็นไมล์ก่อน...เป็น 40 ไมล์) ระหว่างเส้นทางเราขับผ่านเขาชนไก่ ค่ายฝึกวิชาทหารอันขึ้นชื่อ ผ่านร้านขายหินมากมาย พอมาถึงน้ำตกและจ่ายค่าเข้าชม 200 บาทสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและค่าจอดรถ 30 บาทแล้ว ฉันก็เดินนำแขกไปสำรวจน้ำตก 7 ชั้นนั้นทันที 



     ระหว่างเส้นทางสู่เมืองกาญในครั้งนี้ มีภาพเก่าๆ สมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้ามาในความทรงจำเสมอ ภาพของเพื่อนนักศึกษาที่ออกค่ายอาสาในฤดูฝนหลังเมษาฯ ภาพธรรมชาติของจังหวัดกาญจนบุรี น้ำตก ภูเขา เขื่อน และสายน้ำกระจ่างใส บทเพลงเก่าๆ เรื่องราวแห่งวันวาน แม้ครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางออกค้นหาชีวิตแต่ก็มีกลิ่นอายของความอบอุ่นหัวใจกรุ่นกรายอยู่ภายในตลอดเส้นทาง....

บันทึก
10/01/2014
แดนดิน