ชีวิตของคนทำทัวร์คือการเก็บข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด
เพื่อพัฒนาทักษะการขายให้ดียิ่งขึ้น
ยิ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวสินค้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างจินตนาการให้กับผู้ซื้อได้มากเท่านั้น
เมื่อสามารถฉายภาพให้เกิดขึ้นในใจของลูกค้าได้ โอกาสปิดการขายก็มีเพิ่มขึ้น
ทักษะการขายก็คงคล้ายกับการสร้างงานศิลปะอย่างหนึ่งโดยใช้วาทศิลป์โน้มน้าวลูกค้าให้ซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
เมื่อลูกค้ามีความมั่นใจในสินค้าและบริการแล้ว
การควักเงินออกจากกระเป๋าเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองก็ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น
ในเช้าวันอังคารที่สดใส และไม่วุ่นวายจนเกินไป
คนทำทัวร์อย่างผมก็มีโอกาสไปสำรวจเกาะเล็กๆ
กลางแม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเดินทางในชื่อว่า
‘เกาะเกร็ด’
เกาะเกร็ดถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนหรือ Community Based
Tourism (CBT) ที่มีความน่าสนใจในการค้นหาไม่แพ้แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ
และที่สำคัญ เกาะเกร็ด ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก การเดินทางสุ่ชุมชนเล็กๆ
แห่งนี้ก็เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างดี
การเติบโตอย่างรวดเร็วของกรุงเทพฯ
ส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ตั้งอยู่โดยรอบมหานครแห่งนี้
ขอบเขตพื้นที่ความเป็นเมืองมีการขยายออกไปสู่ชุมชนต่างๆ
นำมาซึ่งความท้าทายต่อการรักษาอัตลักษณ์ท้องถิ่น ไว้ หลายชุมชนพยายามสร้างความเข้มแข็งต่อกระแสธารการเปลี่ยนแปลงแห่งโลกสมัยใหม่โดยการจัดตั้งกลุ่มหรือชมรมขึ้นมาเพื่อรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของรากเหง้าและให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้คุณค่าของงานศิลปะ
วัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ ของชาวชุมชนแก่คนรุ่นหลังและผู้ที่สนใจด้านนี้
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าในยุคสมัยปัจจุบันนี้กระแสการท่องเที่ยวโดยชุมชนเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น
ผมออกเดินทางโดยเริ่มจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงแล้วไปลงที่สถานีสะพานตากสิน
จากนั้นก็ต่อเรื่อด่วนเจ้าพระยามุ่งหน้าสู่ท่าเรือนนทบุรีซึ่งเป็นท่าเรือปลายทางก่อนนั่งรถเมล์ฟรีสาย
32 มุ่งหน้าสู่ปากเกร็ด
การเดินทางของผมในเช้าวันนี้เริ่มขึ้นในรถไฟฟ้าบีทีเอสที่คลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารจำนวนมากมายแม้จะเป็นเวลาเกือบสิบโมงแล้ว
แต่จำนวนผู้โดยสารก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด เมื่อมาถึงสถานีสะพานตากสิน
ผมก็เดินออกทางออกที่ 1 มุ่งหน้าสู่ท่าเรือสะพานตากสิน
ซื้อตั๋วเรือด่วนเจ้าพระยาราคา 15 บาท ซึ่งเรือจะติดธงสีส้มไว้ที่ท้ายเรือ
ส่วนธงสีฟ้าจะเป็นเรือนักท่องเที่ยวราคา 150 บาทเป็นตั๋ว 1 วันไม่จำกัดเที่ยว (One
Day Pass) และตั๋วเที่ยวเดียวราคา 40 บาท ซึ่งจะออกทุก
30 นาที โดยมีสถานีปลายทางที่ท่าเรือพระอาทิตย์ ในวันนั้นผมยืนต่อคิวยาวเหยียดซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว
เมื่อขึ้นเรือแล้วผมก็รีบไปยืนอยู่ตรงด้านหลังเก้าอี้แถวหลังสุดเพื่อจะได้เก็บภาพบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างสะดวกโยธิน
ผมยืนอยู่ข้างๆ เด็กฝรั่งคนหนึ่งมากับคุณแม่วัยสาว (เธอยังดูหน้าละอ่อนอยู่มาก)
มีกล้อง DSLR อยู่ในมือ
ผมเจอสองแม่ลูกคู่นี้บนรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีทองหล่อแล้ว ทั้งคู่จะไปลงที่ท่าช้างเพื่อไปวัดพระแก้วต่อไป
เรือวิ่งผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น วัดอรุณ วัดพระแก้ว พิพิธภัณฑ์เรือพระราชพิธี
(Rice Barge Museum), สะพานพุทธ, สะพานพระราม 8, สะพานซังฮี้ (สะพานกรุงธน) เป็นต้น เรือใช้เวลาวิ่งประมาณ
1 ชั่วโมงจากท่าเรือสะพานตากสิน (Central Pier) มาถึงท่าเรือนนทบุรี
เมื่อมาถึงท่าเรือนนทบุรีแล้ว ผมก็เดินสำรวจบริเวณนั้นสักพัก
ซื้อลูกชิ้นกับเฉาก๊วยรองท้องไปพลางๆ ก่อนนั่งรถเมล์ (ฟรี) สาย 32 ต่อไปปากเกร็ด แล้วมาลงที่ท่าน้ำปากเกร็ด
(ใกล้กับห้างโลตัส) แล้วเดินลงไปวัดสนามเหนือ เห็นสามล้อถีบจอดเรียงรายคอยให้บริการไปส่งที่ท่าเรืออยู่หลายคัน
ราคาเที่ยวละ 10 บาทเท่านั้น แต่ผมเลือกที่จะเดินไปมากกว่าเพราะไม่ไกลมากนัก
สักพักก็เดินมาถึงวัดสนามเหนือ เห็นป้ายบอกทางไปท่าเรือข้ามฟากเกาะเกร็ด
ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงแล้ว อากาศเริ่มร้อนอบอ้าว ผมรีบเดินไปขึ้นเรือทันที
ค่าเรือข้ามฟาก 2 บาทเท่านั้น
ได้ยินผู้โดยสารหญิงคนหนึ่งซึ่งน่าจะรู้จักกับคนขับเรือแซวขึ้นว่า
“อาชีพของพี่นี่ไม่ต้องทำอะไรมากมายเน้อ...แค่ขับเรือข้ามไปข้ามมา
ตั้งแต่เช้าถึงเย็นก็ได้เงินละ” พอคนขับเรือได้ยินดังนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันทีด้วยความชอบอกชอบใจ
ทำให้ผมแอบยิ้มออกมาไม่ได้
เมื่อเรือมาถึงท่าเรือเกาะเกร็ดแล้ว
ผมก็รีบเดินเข้าไปสำรวจชุมชนแห่งนั้นทันที เกาะเกร็ดเป็นชุมชนที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องปั้นดินเผามอญโบราณ
มีพิพิธภัณฑ์เปิดให้สาธารณชนเข้าชมด้วย บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์เป็นตู้แสดงวัตถุโบราณต่างๆ
รวมทั้งธนบัตรและเหรียญสมัยก่อน วันนั้นมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก
ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย สอบถามป้าที่ขายธูป เทียนหน้าวัดแห่งหนึ่ง
แกบอกว่านักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันในวันเสาร์และอาทิตย์
แต่ในวันธรรมดาก็มีบ้างประปราย มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ
ผมเดินต่อไปยังพระเจดีย์ทรงระฆังเตี้ยแบบมอญซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด ไปนั่งอธิษฐาน
‘ขออนุภาพแห่งบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว
จงเป็นพลวะปัจจัย ให้ข้าพเจ้ามีความสุข ความเจริญ และเกิดปัญญาญาณ’ อธิษฐานไปยิ้มไปอย่างมีความสุข ผมเห็นน้องๆ วัยรุ่นสามสี่คนยืนกวาดใบไม้ร่วงตรงโคลนต้นไม้ใหญ่
(ไม่แน่ใจว่าเป็นต้นอะไร) ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาในใจและทำให้คิดถึงชีวิตวัยเยาว์ขึ้นมาทันที
ครั้นเป็นเด็กนักศึกษาในวันวาน เรามีเวลามากมายออกท่องเที่ยวไปกับเพื่อนฝูง ได้ทำในสิ่งที่ใจปรารถนา
สดใสเริงร่ากับความฝัน แต่พลันเรียนจบและเริ่มหน้าที่การงาน เราก็มีเวลาท่องเที่ยวน้อยลง
อยู่กับตัวเองและหน้าที่มากขึ้น เวลาของเราคล้ายหายไปและราวกับว่าเราได้หลงลืมอะไรบางอย่าง
ผมเดินต่อไปชมร้านค้าและวิถีชีวิตของ ‘หมู่บ้านโอ่งอ่าง’ ซึ่งเป็นชุมชนที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องปั้นดินเผาแบบมอญที่สืบทอดกันมาครั้นตั้งถิ่นฐานแถบลุ่มแม่น้ำอิรวดี
นับเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี ลวดลายประณีตสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และยังเป็นสัญลักษณ์ตราประจำจังหวัดนนทบุรี สองข้างทางเดินบนเกาะมีบางบ้านที่ทำเครื่องปั้นดินเผา ภาชนะของใช้ ในชีวิตประจำวัน เช่น กระถาง ครก โอ่งน้ำ
ฯลฯ และผมก็หวังใจว่าจะได้พบสาวมอญคนสวย
แต่เมื่อสำรวจตรวจตราผ่านไปก็เจอแต่สาว รุ่นดึก ทั้งนั้น
เมื่อผมเดินมาถึงศาลาริมน้ำแห่งหนึ่ง ก็เห็นหมาตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ตรงนั้น
มันส่ายหางดุ๊กดิ๊กคล้ายดีใจที่เห็นผม เมื่อมองไปไกลอีกฟากฝั่งของแม่น้ำ
ก็ปรากฏพระพุทธรูปสีท่องอร่ามองค์ใหญ่ดูสง่างามตราตรึงใจยิ่งนัก ผมหยิบกล้องขึ้นบันทึกภาพแล้วนั่งเล่นกับหมาตัวนั้นราวกับมันและผมเป็นเพื่อนสนิทกัน
คุณเคยฟังเพลง ‘แรงดึงดูด’ ไหม ที่ท่อนหนึ่งของเพลงร้องว่า ‘ควายกับคนก็คู่กัน ลมกับฝนก็คู่กัน น้ำกับฟ้าก็ซี้กัน...’ ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนั้น แท้จริงแล้วไม่ว่าหมาหรือคนก็เป็นเพื่อนกันได้เสมอ
คุณว่าจริงมั้ย (บางทีหมาอาจซื่อสัตย์กว่าคนก็ได้)
ผมเดินสำรวจต่อไป จนมาถึงวัดไผ่ล้อมหรือในภาษามอญเรียกว่า ‘เภี่ยะโต้’ ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย
ผมเห็นเณรองค์หนึ่งกำลังสาละวนกับการเก็บกวาดบริเวณหน้าโบสถ์ และตรงนั้นก็มีการตั้งโต๊ะบริจาคต่างๆ
เช่น บริจาคทรัพย์ในการปูกระเบื้องรอบเจดีย์, บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น ผมร่วมทำบุญกับวัดไปตามกำลังศรัทธาและทางวัดก็มีใบอนุโมทนาบัตรให้ด้วย
ผมเดินเข้าไปกราบพระประธานในโบสถ์ หลับตา อธิษฐาน ถึงใจที่ปรารถนา
จากนั้นก็เดินออกมานั่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่ ปล่อยใจให้เป็นอิสระ บรรยากาศเงียบสงบ
ได้ยินแม้กระทั่งเสียงใบไม้หล่นกระทบพื้น ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน ผมตั้งมั่นระลึกอยู่เสมอว่าความดีงามเท่านั้นที่จะปกป้องคุ้มครองเราตลอดไป...
ผมนั่งเรือข้ามฝั่งเพื่อเดินทางกลับ นั่งรถเมล์สีเก่าบุโรทั่งมุ่งสู่ใจกลางกรุงเทพฯ
ด้วยความสุขใจ ฟังเพลงขับกล่อมเบาๆ
จนเผลอหลับไปและสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งขึ้นมาบนรถ การเดินทางของผมในวันนี้ทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง ‘เกาธรรมชาติ’ โดย ดำรงค์ วงศ์โชติปิ่นทอง ที่เขียนไว้ว่า
โลกนี้มีของที่อยู่คู่กันเสมอ
เมื่อไรที่เราเห็น “นก” เราก็จะเห็นการโผบินอย่างอิสระ
เมื่อไรที่เราเห็น “ปลา” เราก็จะเห็นน้ำที่ปลาแหวกว่าย
เมื่อไรที่เราเห็น “มด” เราก็จะเห็นอาหารอยู่แถวนั้น
เมื่อไรที่เราเห็น “ท้องฟ้า” เราก็จะเห็นหมู่เมฆอยู่รอบๆ
เมื่อไรที่เราอยู่ในยามค่ำคืน เราก็จะเห็น “ดวงดาว” มากมาย
เมื่อไรที่เราเห็น “เมฆฝน” อีกไม่นานเราก็เห็นฝนตก
เมื่อไรที่เราเห็น “นก” เราก็จะเห็นการโผบินอย่างอิสระ
เมื่อไรที่เราเห็น “ปลา” เราก็จะเห็นน้ำที่ปลาแหวกว่าย
เมื่อไรที่เราเห็น “มด” เราก็จะเห็นอาหารอยู่แถวนั้น
เมื่อไรที่เราเห็น “ท้องฟ้า” เราก็จะเห็นหมู่เมฆอยู่รอบๆ
เมื่อไรที่เราอยู่ในยามค่ำคืน เราก็จะเห็น “ดวงดาว” มากมาย
เมื่อไรที่เราเห็น “เมฆฝน” อีกไม่นานเราก็เห็นฝนตก
ธรรมชาติสร้างสิ่งต่างๆ
มากมายให้อยู่เป็นคู่กัน
เมื่อไรที่เราเห็น “คนท้อแท้”
เราก็จะเห็นคนข้างๆ คอยให้กำลังใจ
บางครั้งเราก็เห็น “คนผิดหวัง”
บางครั้งเราก็เห็น “คนสมหวัง”
บางครั้งเราก็เห็น “คนทำร้ายกัน”
บางครั้งเราก็เห็น “คนช่วยเหลือกัน”
เมื่อไรที่เราเห็น “คนท้อแท้”
เราก็จะเห็นคนข้างๆ คอยให้กำลังใจ
บางครั้งเราก็เห็น “คนผิดหวัง”
บางครั้งเราก็เห็น “คนสมหวัง”
บางครั้งเราก็เห็น “คนทำร้ายกัน”
บางครั้งเราก็เห็น “คนช่วยเหลือกัน”
เหตุผลที่ธรรมชาติสร้าง
“อุปสรรค” ขึ้นมา
เพื่อให้เรารู้จักคำว่า “ต่อสู้” และ เหตุผลที่ธรรมชาติสร้าง “ปัญหา” ขึ้นมา
เพื่อให้เรารู้จักใช้ “ปัญญา” แก้ไขมัน
เพื่อให้เรารู้จักคำว่า “ต่อสู้” และ เหตุผลที่ธรรมชาติสร้าง “ปัญหา” ขึ้นมา
เพื่อให้เรารู้จักใช้ “ปัญญา” แก้ไขมัน
บันทึกการเดินทาง
โดย นายแดนดิน
06
กุมภาพันธ์ 2557
No comments:
Post a Comment