Monday, October 21, 2013

ฤดูหนาว...ณ เมืองสามหมอก...Mae Hong Son….it’s foggy now!

   

   
     This morning (22/10/2013) the mist was flying over the mountains and the temperature dropped by 3-5 degree Celsius. My breath turned white and I started shivering (For you guys who come from cold countries, the cold season here in Thailand is simply summer time for you).

     These days I noticed more tourists have traveled to Mae Hong Son. One of the guys who stayed here in my guesthouse came from South Korea and I just called him ‘Kim’ (‘Kim is the Korean name that we, Thai people, know very well). He just told me he was inspired by a Korean couple who had traveled to Mae Hong Son and stayed in ‘Sarm Mork Guest House’. When they returned home, they wrote about their trips to Mae Hong Son on their blog. Kim came from Incheon, a bustling port west of Seoul. I saw him with a big bag and handling a Nikon DSLR camera and a small notebook. Back to Korea, Kim was just a typical private employee who worked hard and had no time for himself. For Kim, traveling is to seek other states, other lives, and other souls.

     Boy and Naen, a young couple from Chiang Mai University, also traveled to this tiny city. They came to ‘The Land of Three Mists’ for photography. For these two young artists, traveling gives them new perspectives to their photography. To them, do what your heart says, and you will be much better off.

Daendin

October 22nd, 2013

      เช้านี้หมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งระเรี่ยดอยกองมูหรือวัดพระธาตุดอยกองมู อากาศหนาวเย็นมากขึ้น อุณหภูมิลดลงราว 4-5 องศา มีควันระบายออกมาตามลมหายใจ นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางเข้าสู่เมืองนี้ คิม (นามสมมุติ) หนุ่มเกาหลีจากเมืองอินชอน เมืองท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในชายฝั่งตะวันตกของเกาหลีใต้รอนแรมสะพายเป้มาพักที่สามหมอกเกสท์เฮ้าส์ เขามีสมุดบันทึก 1 เล่ม กล้อง DSLR ยี่ห้อ Nikon 1 ตัว เขาเล่าว่ารู้จักแม่ฮ่องสอนและสามหมอกเกสท์เฮ้าส์จาก Blogger หนุ่มสาวเกาหลีคู่หนึ่ง และเรื่องราวการเดินทางของทั้งคู่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขาออกเดินทางสู่เมืองนี้...คิมเป็นพนักงานบริษัทเอกชนชื่อดังในเกาหลี การเดินทางสำหรับเขาคือการได้คำว่า ชีวิต กลับคืนมาอีกครั้ง....

    บอยกับแนน...บอยกับแนนเป็นคู่วัยใสจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เดินทางเข้าสู่เมืองสามหมอกเพื่อมาเก็บรูปภาพงานออกพรรษาและสะพานแห่งศรัทธานาม ซูตองเป้ทั้งคู่ก็เหมือนจิตกรสุดติสต์แห่งคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่มีหัวใจอิสระและรักการถ่ายรูป บอยกับแนนเล่าว่าการเดินทางคือการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับพวกเขาในการเก็บบันทึกรูปภาพ สำหรับการถ่ายรูปแล้วก็คงไม่ต่างจากการเขียนหนังสือที่ต้องมีแรงบันดาลใจที่จะถ่ายทอดเรื่องราวออกมาจากมุมมองและความคิดของผู้สื่อสาร สำหรับทั้งคู่แล้ว การเลือกทำในสิ่งที่หัวใจเรียกหาทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้นทุกวัน

     ยังมีเรื่องราวของนักเดินทางอีกหลากหลาย ที่พร้อมจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครได้ออกเดินทางสู่เมืองในฝันของฤดูหนาวปีนี้ โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินกว่าการที่จะจำกัดตัวเองให้อยู่กับความจำเจซ้ำซากของชีวิต

แดนดิน

22 ตุลาคม 2556

Monday, October 7, 2013

Wat Traimit, One of The Must Visited Temples in Bangkok





     ในกรุงเทพ มีวัดอยู่มากมายหลายแห่ง วัดที่ขึ้นชื่อเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวคือวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดอรุณ และวัดเบญจมบพิตร และมีอีกวัดหนึ่งซึ่งเป็นวัดที่ถูกบันทึกไว้ว่ามีพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก วัดนั้นก็คือ 'วัดไตรมิตร'




     ดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร เดิมมีชื่อว่า 'วัดสามจีน' ตั้งอยู่ที่ถนนเจริญกรุงหรืออยู่ทางด้านทิศตะวันตกของสถานีรถไฟหัวลำโพง วัดไตรมิตรเป็นวัดที่ประดิษฐาน 'หลวงพ่อทองคำ' ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์สมัยสุโขทัยและเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดนี้เป็นอีกหนึ่งวัดที่จะอยู่ในโปรแกรม Temples and City Tour ของหลายบริษัททัวร์และเป็นวัดที่นักท่องเที่ยวจะต้องไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมชมสักครั้งเมื่อมีโอกาสมาเที่ยวเมืองไทย



     Wat Traimit is one of the must visited temples in Bangkok. The temple is located at the end of Chinatown's Yaowarat Road, near Hualampong Railway Station, Wat Traimit houses the world's largest massive gold seated Buddha measuring nearly five metres in height and weighing five and a half tons. In the past, artisans crafted the Buddhas in gold and disguised them from invading armies by a covering of stucco and plaster.



     The Buddha at Wat Traimit was discovered by accident when it was accidentally dropped as it was being moved, revealing, under a casing of plaster, a beautiful solid gold Sukhothai style Buddha. Pieces of the plaster are still kept on display.

Opening Hours: 09:00 - 17:00
Location:           Traimit Road (west of Hua Lampong Station), at the very beginning of  
                          Chinatown
Price Range:      10 Baht to visit the museum located half way to the top of the building.
                           Visiting the golden buddha itself is free.

Source: http://www.bangkok.com/attraction-temple/wat-raimit.htm

Thursday, October 3, 2013

ปาย...ดินแดนแห่งแรงบันดาลใจ


ปาย...สำหรับใครหลายคนที่เีคยมาเที่ยวแล้วต่างก็มีทั้งประทับใจและไม่ประทับใจ บางคนก็บอกว่า ปายคือดินแดนแห่งความฝัน โรแมนติกไม่แพ้ที่ไหนในประเทศไทย แต่บางคนก็บอกว่า ปายหมดเสน่ห์ของความเป็นพื้นเมืองไปเสียแล้ว จะยังไงก็แล้วแต่ ปายสำหรับผมก็ยังสวยงามและเหมาะกับการค้นหาแรงบันดาลใจและไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ ปาย...มีอะไรให้น่าค้นหา เราลองมาดูกัน

ปายคือดินแดนอาร์ตตัวแม่



ผมมีโอกาสเดินทางไปเมืองท่องเที่ยวในประเทศไทยก็หลายที่แต่ยังไม่พบว่ามีเมืองไหนที่จะรวมเอาเหล่าศิลปินหรือพวกอาร์ตติสท์ทั้งหลายแหล่ไว้ได้มากเท่าที่อำเภอปาย ทุกหนทุกแห่งในอำเภอปายเต็มไปด้วยงานศิลปะและไอเดียกิ๊บเก๋อเนก้า จนใครต่อใครที่ได้มาสัมผัสจะพบกับความประทับใจไม่มากก็น้อย ผมลองเดินสำรวจไปทั่วถนนคนเดินในเช้าวันนี้พบว่าทุกร้านที่อยู่สองข้างถนนจะต้องมีหนึ่งผลงานศิลปะที่น่าประทับใจจนผู้มาเยือนต้องถ่ายรูปเก็บไว้และบางร้านก็ทำให้ใีครหลายคนยืนมองด้วยความทึ่งที่เจ้าของผลงานสามารถคิดสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างน่าสนใจ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ผมชอบมาเที่ยวเมืองนี้เมื่อต้องการไอเดียใหม่ๆ เอาไปตกแต่งที่ร้านอาหารกับเกสท์เฮ้าส์

ปายคือดินแดนแห่งแรงบันดาลใจ



คุณเชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้ค่อนหนึ่่งของคนที่อาศัยอยู่ที่อำเภอปายคือเหล่าศิลปินที่ทำงานอยู่ในแวดวงศิลปะ โฆษณา หนังสือ และการท่องเที่ยว พวกนี้เป็นคนหนุ่มสาว มีหัวใจอิสระ คิดนอกกรอบและเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง ผมเห็นบางคนเดินทางมาจากภาคใต้ของประเทศ บางคนเป็นฝรั่งมาจากยุโรปและบางคนก็เป็นคนมีชื่อเสียงอยู่ในสังคมไทย เวลาที่คุณได้มาเยือนปาย ลองเดินเข้าไปพูดคุยกับพวกเขาเหล่านี้ดูคุณจะได้แรงบันดาลใจอย่างท่วมท้น และที่ปายนี่เองที่ทำให้ผมได้สูดอากาศดีๆ ในยามเช้าริมฝั่นแม่น้ำปาย ได้สัมผัสละไอหมอกในร้านกาแฟที่ตกแต่งได้อย่างประทับใจและได้พบปะพูดคุยกับนักเดินทางที่ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนที่ดีเสมอถ้าคุณกล้าที่จะเข้าไปพูดคุยกับเขา...

ปายคือดินแดนแห่งรัก



คุณเชื่อหรือไม่ว่ามีชายไทยไม่ต่ำกว่าห้าคน (จากการคะเนด้วยสายตาเมื่อลองเดินสำรวจถนนคนเดินที่ปายดู) มีแฟนเป็นคนต่างชาติ ทั้งฝรั่งผมทองและสาวเอเชียหน้าตาจิ้มลิ้ม คนหนุ่มสาวที่เดินทางมายังอำเภอปายล้วนเป็นนักเดินทางที่แสวงหาตัวตนของตัวเอง บางคนทำงานในบริษัทใหญ่โตอยู่ในเมืองใหญ่ ชีวิตมีแต่งานจนขาดความอิสระ และนั่นก็เป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขาเหล่านั้นออกเดินทางไปยังดินแดนที่ใฝ่หา หลายคนมาพบรักที่เมืองปายแห่งนี้ และใช้ชีวิตเรียบง่ายไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตก่อนที่คุณจะแต่งงานมีครอบครัวไป คุณน่าจะลองออกเดินทางไปยังทีี่ไหนสักที่ที่ใจเรียกหาแล้วคุณจะค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถพบได้ในเวลาที่ยุ่งเหยิงอยู่กับงานประจำวัน



ปายเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ว่าในสายตาของใครจะมองอย่างไรแต่สำหรับผมแล้วปายคือดินแดนที่สวยงามและเหมาะกับการค้นหาแรงบันดาลใจและไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ

แดนดิน

16 มกราคม 2556

ณ เมืองสามหมอก...แม่ฮ่องสอน